00.00฿

Shopping Cart

close

ไม่มีสินค้าในตะกร้า

Return to shop
00.00฿

Shopping Cart

close

ไม่มีสินค้าในตะกร้า

Return to shop

กลยุทธ์กระตุ้นยอดขาย

By Somprint

13 May, 2021

sale
เมื่อบริษัทมียอดขายน้อย ไปจนถึง ยอดขายปานกลาง จึงจำเป็นต้องหาวิธีเพื่อเป็นการกระตุ้นยอดขายให้เพิ่มมากขึ้น ซึ่งบริษัทจะดำเนินต่อไปได้หรือไม่ ต่างก็ขึ้นอยู่กับยอดขายที่ทำได้ในแต่ละวัน เพราะฉะนั้น การกระตุ้นยอดขายจึงเป็นสิ่งที่นักการตลาดทุกคนควรให้ความสำคัญมากขึ้น เพราะนอกจากจะทำให้บริษัทมียอดขายที่เพิ่มขึ้นแล้ว ยังทำให้บริษัทสามารถดำเนินกิจการต่อไปได้อีกด้วย
วันนี้น้องส้มเลยจะมาแชร์กลยุทธ์ดีๆ สำหรับการเพิ่มยอดขาย ที่จะทำให้ยอดขายเข้ามารัวๆ จนหยุดไว้ไม่อยู่กันเลยทีเดียว! และที่สำคัญ การลงทุนต่ำ แต่ได้ผลตอบรับกลับมาสูง มีอยู่จริง

1. การสะสมแต้ม

กลยุทธ์ข้อนี้ถือว่าเป็นที่นิยมมากในหลายธุรกิจ เพราะไม่ว่าจะหันไปทางไหน ก็มีให้สะสมแต้มกันหมดแล้ว โดยวิธีนี้ถือว่าเป็นวิธีที่ค่อนข้างง่าย และมูลค่าการลงทุนค่อนข้างต่ำ แต่ผลตอบรับที่ได้อยู่ในเกณฑ์ที่พึงพอใจ โดยจะเป็นการให้ลูกค้าทำการสมัครสมาชิกกับทางแบรนด์นั้นๆ จากนั้นจึงมีสะสมแต้ม โดยแบรนด์จะเป็นผู้กำหนดเงื่อนไขสำหรับการสะสมแต้มเองว่า เมื่อมีการสั่งซื้อเข้ามาที่มูลค่าเท่าไหร่ ถึงจะถูกนับแต้ม และเมื่อถึงลูกค้ามีการสะสมถึงเกณฑ์ที่กำหนด ก็จะได้รับผลตอบรับกลับไป อาจเป็นส่วนลด หรือของรางวัล

2. ของแถม

วิธีการนี้ถือว่าเป็นวิธีการที่ถูกนำไปใช้กับหลายๆ แบรนด์มากที่สุดเลยก็ว่าได้ เพราะเมื่อคิดกลยุทธ์การตลาดอะไรไม่ออก ก็แจกของแถมซะเลย ในส่วนของมูลค่าการลงทุนจะค่อนข้างมีมูลค่านิดนึง เนื่องจากว่า ต้องมีค่าใช้จ่ายสำหรับการซื้อสินค้าที่จะใช้เป็นของแถม หรือหากเป็นโปรโมชั่น ซื้อ 1 แถม 1 ก็เท่ากับว่าต้องเสียกำไรจากสินค้าไป 1 ชิ้น แต่ผลตอบรับที่ได้มาอยู่ในเกณฑ์ปานกลาง หากเป็นลูกค้าที่สนใจสินค้านั้น หรือมีความจำเป็นที่ต้องใช้สินค้านั้นอยู่แล้ว ก็จะเกิดความสนใจและมีการสั่งซื้อเข้ามา แต่หากเป็นลูกค้าที่ไม่ได้มีความสนใจในสินค้านั้น และไม่มีความจำเป็นต้องใช้ ก็จะเพิกเฉยต่อสินค้านั้นทันที แม้จะมีโปรโมชั่นที่น่าสนใจก็ตาม เพราะฉะนั้นวิธีการนี้จะได้ผลตอบรับที่สูงที่สุด ก็ต่อเมื่อมีการทำการตลาดควบคู่กับสถานการณ์ในตอนนั้น เช่น ช่วงโควิด 19 ระบาด เลยมีการจัดโปรโมชั่น หน้ากากอนามัย ซื้อ 1 แถม 1 เป็นต้น

3. ตัดตอน

วิธีการนี้ จะเป็นการตัดออก โดยอะไรที่ไม่จำเป็น หรือก่อให้เกิดความยุ่งยาก ต่อการใช้งาน ก็จะตัดออกทันที แถมยังสามารถเพิ่มมูลค่าให้สูงขึ้นกว่าเดิมด้วย เนื่องจากเปรียบเสมือนการคิดค้นผลิตภัณฑ์ใหม่ ยกตัวอย่างเช่น หูฟัง จากที่ปกติเป็นแบบมีสายแล้วเสียบที่รู้หูฟังบนโทรศัพท์ เมื่อสายมันก่อให้เกิดความยุ่งยากต่อการใช้งาน จึงมีการปรับเปลี่ยนเป็นแบบ AirPods หรือ หูฟังไร้สาย เป็นต้น

4. ขยายผล

เป็นวิธีการสำหรับการทำธุรกิจในระยะยาว หรือในปริมาณที่เยอะ โดยมูลค่าการลงทุนต่ำ และผลตอบรับสูง ซึ่งวิธีการนี้จะทำให้ลูกค้าใช้บริการสินค้าต่างๆ จากแบรนด์ของเราได้อย่างยยาวนานมากขึ้น จากปกติที่อาจใช้บริการแค่เพียงครั้งเดียว กลายเป็นใช้บริการเป็นเดือน หรือเป็นปีกันเลยทีเดียว แต่วิธีการนี้อาจไม่เหมาะสำหรับบางธุรกิจ จึงจำเป็นต้องผ่านการศึกษาให้ดีก่อน เช่น บัตรดูหนัง 1 ครั้ง มูลค่า 200 บาท แต่หากสมัครเป็นแบบการ์ดดูหนังรายปี 999 บาท สามารถดูได้เป็นระยะเวลา 1 ปี โดยไม่จำกัดจำนวนครั้ง เป็นต้น

5. เปลี่ยนมันซะ

วิธีการนี้ก็นับว่าเป็นวิธีการที่นิยมเหมือนกัน แต่ก็ใช่ว่าจะประสบความสำเร็จกันทุกแบรนด์ที่ใช้วิธีการนี้ เพราะถือว่าเป็นวิธีการที่มีมูลค่าการลงทุนค่อนข้างสูง แต่ผลตอบรับกลับไม่สามารถคาดคะเนได้ เป็นการเปลี่ยนตัวสินค้าจากอะไรเดิมๆ ให้เป็นรูปแบบใหม่ ที่น่าสนใจมากยิ่งขึ้น ยกตัวอย่างเช่น ตั๋วดูหนัง ที่ต้องยื่นให้คนตรวจตั๋วทุกครั้ง ก่อนเข้าชมภาพยนตร์ อาจเปลี่ยนเป็นรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ ที่สามารถสแกนผ่าน Smart Phone ได้เลย เป็นต้น